
เวลาที่ทุกคนซื้อมือถือมาหนึ่งเครื่อง หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เราซื้อมือถือเครื่องนั้นๆ น่าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยี Fast Charge ซึ่งเป็นการชาร์จมือถือด้วยความเร็ว บางแบรนด์ก็เน้นความเร็ว เน้นกำลังไฟฟ้าเยอะๆ จนสามารถชาร์จเต็มได้ภายในเวลาอันสั้น แต่รู้มั้ยครับ ว่าจริงๆ แล้ว เทคโนโลยี Fast Charge ทำงานยังไง แล้วอะไร ทำให้ Fast Charge ของแต่ละแบรนด์ถึงมีความเร็วและกำลังไฟฟ้าที่รับได้ไม่เท่ากัน วันนี้เราจะไปหาคำตอบกันครับ
Fast Charge คืออะไร ทำงานยังไง

เทคโนโลยี Fast Charge คือการทำงานที่ประสานกันระหว่าง หัวชาร์จ , สายชาร์จ , ตัวควบคุมกำลังไฟ และแบตเตอรี่ ทั้ง 4 องค์ประกอบนี้มีความสำคัญต่างกัน แต่ตัวที่เป็นเหมือนหัวใจสำคัญของการชาร์จไวก็คือ ตัวควบคุมกำลังไฟ (IC) เพราะเป็นเหมือนตัวกลางที่คอยคัดกรองกำลังไฟที่จะเข้าไปยังแบตเตอรี่ และคอยห้ามไม่ให้ไฟเข้าไปยังแบตเตอรี่ตอนที่แบตเตอรี่เต็มแล้วนั่นเอง
นี่เป็นเหตุผลที่เราไม่แนะนำให้ใช้หัวชาร์จราคาถูก เพราะหัวชาร์จเหล่านั้นอาจจะไม่มี IC คอยกรองและตัดไฟ อาจจะทำให้เกิดปัญหาประกายไฟปะทุขึ้นมา ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเหตุเพลิงไหม้นั่นเอง
เทคโนโลยี Fast Charge ของแต่ละค่าย
หลังจากที่ Fast Charge ถูกคิดค้นตั้งแต่ยุคสายชาร์จ micro USB แต่ละค่ายก็มีการพัฒนาเทคโนโลยี Fast Charge ของตนเอง เพื่อง่ายต่อการผลิตอุปกรณ์ในการชาร์จไม่ว่าจะเป็นหัวชาร์จ , สายชาร์จ หรือการเลือกเทคโนโลยีการออกแบบแบตเตอรี่ในมือถือหรืออุปกรณ์นั้นๆ และวันนี้เราจะมาดูกันว่า Fast Charge แต่ละแบรนด์จะมีกี่เวอร์ชัน รองรับสูงสุดเท่าไหร่ มาดูกันเลย
USB charging standards

Voltage | Current | Max power | |
USB 1.0 | 5V | 0.5A | 2.5W |
USB 2.0 | 5V | 0.5A | 2.5W |
USB 3.0 | 5V | 0.5A/0.9A | 4.5W |
USB 3.1/3.2 (USB-C + USB-PD) | 5-48V | 0.5A/0.9A/1.5A/3A/5A | 240W |
USB4 (USB-C + USB-PD) | 5-48V | 0.5A/0.9A/1.5A/3A/5A | 240W |
มาตรฐานของ USB ถือว่าเป็นตัวกลางและจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเทคโนโลยี Fast Charge ของแต่ละแบรนด์ โดยมีมาแล้วทั้งหมด 5 เวอร์ชันตามตารางเลย หลังจากนี้เราจะไปดูกันว่าแต่ละแบรนด์มีเทคโนโลยี Fast Charge แบบใหน และมีกำลังไฟกี่วัตต์กันบ้าง ไปดูกันเลย

Voltage | Current | Max power | |
USB-PD | 9V | 2A | 18W |
Google แบรนด์มอถือและผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการ Android อาจจะไม่ได้เน้นการพัฒนาระบบ Fast Charge มากนัก แต่ก็มีการพัฒนาการชาร์จที่รองรับแรงดันไฟถึง 9V และกระแสไฟ 2A รวมเป็นกำลังไฟที่รอบรับได้ 18 วัตต์นั่นเอง
Qualcomm

Voltage | Current | Max power | |
Quick Charge 1.0 | 5V | 2A | 10W |
Quick Charge 2.0 | 5V/9V/12V | 1.67A/2A | 18W |
Quick Charge 3.0 | 3.6V to 20V (200mV increments) | 2.5A/4.6A | 18W |
Quick Charge 4.0+ | 5V/9V (USB-PD), 3.6V to 20V (200mV increments) | 3A (USB-PD), 2.5A/4.6A | 27W (USB-PD) |
Quick Charge 5.0 | 5V/9V (USB-PD), 3.3V to 20V (200mV increments) | 3A/5A/>5A | 100W+ |
มาถึงแบรนด์ผู้ผลิตและพัฒนาชิปอย่าง Qualcomm ที่นอกจากจะผลิตชิป Snapdragon ตัวแรงๆที่เราใช้เล่นเกมกัน ก็ยังมีการใส่ใจเรื่องของการชาร์จเร็วอีกด้วย โดยเฉพาะมือถือที่เน้นความเป็น Snapdragon มากๆ ทาง Qualcomm ก็มีเทคโนโลยีชาร์จไวรองรับและถูกพัฒนามา 5 เวอร์ชันแล้ว และเวอร์ชันล่าสุดก็สามารถรองรับกำลังไฟได้มากถึง 100 วัตต์เลยทีเดียว
Samsung Super Fast Charge

Voltage | Current | Max power | |
Samsung Adaptive Fast Charging | 5V/9V | 2A | 18W |
Samsung Super Fast Charging 1.0 | 11V | 2.25A | 25W |
Samsung Super Fast Charging 2.0 | 10V | 4.5A | 45W |
แบรนด์ตลาดอย่าง Samsung อาจจะไม่ได้เด่นเรื่องขอ Fast Charge มากนัก แต่ก็ยังมีการพัฒนาการชาร์จเร็วในอุปกร์มาจนสามารถรองรับได้ถึง 45 วัตต์ แต่หากดูจากการใช้งานจริง การชาร์จจากหัวชาร์จ 25 วัตต์ แทบจะไม่แตกต่างจากหัวชาร์จ 45 วัตต์เท่าไหร่ หากมองในอีกมุม Samsung น่าจะมองถึงสุขภาพของแบตเตอรี่ที่จะต้องรับกำลังไฟสูงๆ แต่ต้องแลกกับอายุการใช้งานที่ลดลงด้วยนั่นเอง
Motorola TurboPower

Voltage | Current | Max power | |
TurboPower 15 | 9V/12V | 1.2A/1.67A | 15W |
TurboPower 25 | 5V/9V/12V | 2.15A/2.85A | 25W |
TurboPower 30 | 5V | 5.7A | 28.5W |
ถ้าดูจากตัวเลขของ Motorola ในเรื่องกำลังไฟที่รับได้ อาจจะแหวกไปจากมือถือแบรนด์อื่นๆ แต่ก็เป็นกำลังไฟที่ยังรองรับได้น้อย เพราะ Motorola เน้นพัฒนามือถือ Mid range เป็นส่วนใหญ่ แต่ปีนี้ที่มีข่าวหลุดของมือถือเรือธงหลายตัวจาก Motorola คงตค้องรอดูว่าเทคโนโลยีชาร์จไวจะทำได้ดีขึ้นมากแค่ใหน
OnePlus Warp Charge

Voltage | Current | Max power | |
Dash Charge | 5V | 4A | 20W |
Warp Charge | 5V | 6A | 30W |
Warp Charge 30T | 5V | 6A | 30W |
Warp Charge 65T | 5V | 6Z | 65W |
แบรนด์มือถือที่ได้ชื่อว่า “ ทำมือถือตามใช้ผู้ใช้ “ ก็มีการพัฒนาเทคโนโลยี Fast Charge ของตนเอง ก่อนจะจับมือกับ OPPO เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีมือถือร่วมกัน ซึ่งสามารถพัฒนาให้รองรับกำลังไฟได้มากถึง 65 วัตต์ จนกลายเป็นกำลังไฟเริ่มต้นที่มือถือ OnePlus และมือถือ Mid Range หลายแบรนด์จะต้องแถมมาให้นั่นเอง
OPPO and realme VOOC

Oppo VOOC | 5V | 5A | 25W |
Oppo Super VOOC 1.0 | 10V | 5A | 50W |
Oppo Super VOOC 2.1 | 10V | 6.5A | 65W |
Oppo Super VOOC 3.0 | 20V | 6A | 120W |
Oppo Super VOOC 3.1 | 20V | 7.5A | 150W |
OPPO แบรนด์มือถือที่ทำให้เราได้อึ้งไปกับเทคโนโลยีชาร์จเร็วได้ในทุกปี และที่ผ่านมาก็เพิ่งมีการโชว์ประสิทธิภาพการชาร์จไวที่มีกำลังไฟถึง 240 วัตต์ และมีการปล่อยเทคโนโลยี Fast Charge ตัวใหม่ที่มีกำลังไฟมากถึง 150 วัตต์ ซึ่งสามารถชาร์จมือถือจาก 0 – 50% ได้ภายใน 5 นาทีเท่านั้น เรียกได้ว่า OPPO น่าจะเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี Fast Charge ตัวจริงเลยก็ว่าได้
vivo and iQOO Flash Charge

Flash Charge | 11V | 3A | 33W |
Super Flash Charge | 20V | 6A | 120W |
vivo แบรนด์มือถืออีกหนึ่งแบรนด์ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของเทคโนโลยี Fast Charge และมีการพัฒนาให้กำลังไฟที่ทำได้เทียบเท่ากับ OPPO เลย ซึ่งในความเป็นจริง ดูเหมือนแบรนด์จีนทั้ง OnePlus , vivo , OPPO และ Realme เหมือนจะมีการแชร์ความรู้และเทคโนโลยีการชาร์จเร็วมห้กันและกันเลยนะ
Huawei SuperCharge

Voltage | Current | Max power | |
Huawei SuperCharge | 4.5V to 10V | 4A/4.5A/5A | 44W+ |
แบรนด์สุดท้ายที่เราจะมานำเสนอกันคือ HUAWEI ซึ่งอาจจะไม่ได้มีพัฒนาการด้าน Fast Charge เท่าไหร่นัก แต่ก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เทคโนโลยี Fast Charge ทำได้รวดเร็วและปลอดภัย และทำได้ครอบคลุมไปถึงอุปกรณ์ IoT อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊กและหูฟังไร้สาย รวมไปถึงอุปกรณ์อื่นๆ ด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการรวบรวมเทคโนโลยี Fast Charge แค่ส่วนหนึ่งที่เราสามารถตรวจสอบแรงดันไฟ , กระแสไฟ และองค์ประกอบอื่นๆ แต่ถ้าใครอยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือมองว่ามันมียิบย่อยมากกว่านั้น ก็สามารถมาแลกเปลี่ยนความคิดผ่านใต้คอมเมนต์ได้เลย