กราบสวัสดีคุณผู้อ่านทุกคน นาน ๆ ทีเราจะมาแนะนำของน่าสนใจ (ป้ายยา) ในเว็บกัน วันนี้ขอเสนอ รีวิว Amazfit T-Rex Smart Watch สายอึดที่อึดจริง ๆ ได้รับมาตรฐานระดับทหารใช้งานกัน นอกจากนั้นยังไม่พอ แบตเตอรี่ยังอึดอีกด้วย ตอบโจทย์สำหรับสายลุยแบบ Extream ที่กำลังมองหา Smart Watch กันอยู่ ซึ่ง Amazfit T-Rex เป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในแบรนด์ Huami แบรนด์ลูกของ Xiaomi อีกที จะเป็นยังไงไปดูรีวิวกันเลยจ้า
รายละเอียดสเปค Amazfit T-Rex
- หน้าจอสัมผัส AMOLED 1.3 นิ้ว 360×360 พิกเซล เปิด Always-On Display ได้
- กระจก Corning Gorilla 3 ป้องกันรอยนิ้วมือ
- ขนาดของสาย สายด้านยาวสุด 123 มม. + สายสั้นสุด 78มม. + สายกว้าง 22มม.
- ตัวเรือนวัสดุโพลีเมอร์ ขนาด 47.7 x 47.7 x 13.5 มม. น้ำหนักรวมสาย 58 กรัม
- รองรับเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0
- รองรับ GPS + GLONASS
- แบตเตอรี่ 390 แอมป์ ชาร์จเต็มใน 2 ชั่วโมง ใช้ปกติได้ 20 วัน ใช้เป็นนาฬิกา 66 วัน ใช้แบบ GPS ต่อเนื่อง 40 ชั่วโมง
- ระดับกันน้ำ ATM 5 กันน้ำลึก 50 เมตร
- เซ็นเซอร์ BioTracker PPG Bio-Tracking Optical Sensor , 3-axis Acceleration Sensor , Geomagnetic Sensor , Ambient light Sensor
- รองรับ Anroid 5.0 และ iOS 10.0 ขึ้นไป
- ใช้ร่วมกับแอพพลิเคชั่น Amazfit
การออกแบบ Amazfit T-Rex
Amazfit T-Rex มากับการดีไซน์ที่ออกแบบมาเพื่อออกแบบเพื่อการกีฬา การทหาร และกิจกรรมผจญภัยโดยเฉพาะ กรอบเครื่องด้านหน้านูนขึ้นมาเพื่อป้องกันการกระแทกของหน้าจอ บริเวณรอบเครื่องจะมีปุ่มกด 4 ปุ่มให้ควบคุมได้โดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ เหมาะกับการใช้งานใต้น้ำเป็นอย่างมาก ใต้เครื่องก็เป็นพลาสติกไม่กักน้ำ การออกแบบโดยรวมอารมณ์แบบพวกซีรี่ส์ G-shock แต่มีน้ำหนักที่เบากว่ามาก ๆ สายมีความยืดหยุ่นสูง ซึ่งถึงแม้จะเป็น Smart Watch แต่ Amazfit T-Rex ก็ได้รับมาตรฐานความทนทานระดับ Military grade certifications มากถึง 12 หัวข้อที่มนุษย์ปกติอย่างเราไม่น่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นบ่อย ๆ นั่นก็คือ
- ทนความร้อนได้ 70 องศาเซลเซียส
- ทนความเย็นได้ -40 องศาเซลเซียน
- ทนแรงดันน้ำลึกได้ 50 เมตร
- อยู่ในสภาพอากาศชื้นได้ 240 ชั่วโมง
- ทนสภาพความเป็นกรดได้นาน 96 ชั่วโมง
- ทนต่อแรงกระแทกมาตรฐานที่สูงกว่า Smart Watch ทั่วไป
สัมผัสแรกที่ใส่เลยคือมันเบามาก เบาเหมือนนาฬิกาของเล่นเลยทีเดียว สายยืดได้ออกแนวนุ่ม ๆ รู้สึกได้ถึงการระบายอากาศที่ดีกว่าสมาร์ทวอทช์ทั่วไป ตัวสายเจาะรูแบบถี่ ๆ แทบจะทั้งสาย ใส่ได้ทุกขนาดข้อมือ โดยรวมแล้วถูกใจเรื่องความเบามาก ๆ
ที่สำคัญ Amazfit T-Rex นั้นมาพร้อมปุ่มควบคุม 4 ปุ่ม ทำให้สามารถควบวคุมการทำงานได้โดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ ทำให้สามารถใช้งานใต้น้ำได้อย่างสบาย ซึ่งถ้าเป็นสมาร์ทวอทช์รุ่นอื่น จะมีปุ่มควบคุมสองปุ่ม และสัมผัสหน้าจอใต้น้ำไม่ได้ ถือเป็นอีกจุดเด่นของ Amazfit T-Rex
การเชื่อมต่อของ Amazfit T-Rex
ต้องใช้แอพพลิเคชั่น Amazfit ในการเชื่อมต่อ โดยมีให้โหลดทั้งใน Google Play สำหรับ Android และ App Store สำหรับ iOS สามารถเชื่อมต่ออย่างง่ายดาย เพียงเปิดแอพพลิเคชั่นและลงทะเบียนตามขั้นตอน และสแกน QR Code ที่แสดงบนนาฬิกา เพียงเท่านี้ก็สามารถเชื่อมต่อได้แล้ว
ในแอพพลิเคชั่น Amazfit เราสามารถเลือกเปลี่ยนหน้าปัดได้หลากหลายรูปแบบ หลากหลายการแสดงผล ไม่ให้รู้สึกเบื่อหน่ายกับหน้าปัดรูปแบบเดิม ๆ อีกต่อไป ซึ่งลองนับดูแล้วมีกว่า 30 รูปแบบเลยทีเดียว หรือใครที่อยากดูคลิปแกะกล่องพร้อมแนะนำการเชื่อมต่อก็สามารถดูได้ที่คลิปด้านล่างเลยจ้า
ทดสอบออกกำลังกายไปกับ Amazfit T-Rex
หนึ่งในฟีเจอร์ที่สำคัญของ Smart Watch นั่นก็คือการออกกำลังกาย ซึ่งแบรนด์ Amazfit ก็มีประสบการณ์ด้านนี้มายาวนาน ซึ่งในรุ่น Amazfit T-Rex นี้จุดเด่นแรกคือน้ำหนักที่เบา ทำให้เคลื่อนไหวคล่องตัว ซึ่งเราจะมาทดสอบกันด้วยแบตเตอรี่เต็ม 100% เปิดโหมดออกกำลังกายแบบลู่วิ่ง เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจจะทำงานตลอดเวลา และ หน้าจอจะแสดงผลตลอดเวลา โดยทาง Amzafit เคลมว่าสามารถเปิดโหมดออกกำลังกายได้นานถึง 66 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ไปดูการทดสอบกันเลยจ้า
เช็คหน้าจอแสดงผลหลังจากวิ่งไป แอบตกใจ เพราะระยะทางที่วิ่ง แสดงผลตรงกับเครื่องออกกำลังกายแบบเป๊ะ ๆ มีไฟที่แสดงสถานะการเต้นของหัวใจ (สีเหลืองที่เขียนว่า Aerobic) แสดงสถานะ Heart Rate Zone ขณะที่กำลังออกกำลังกาย มี 5 สถานะด้วยกันคือ Light ,Intensive ,Aerobic ,Anaerobic และ VO2max ซึ่งดูจากผลสรุปด้านล่างเปิดโหมดออกกำลังกายไป 15 นาที วัดหัวใจตลอด หน้าจอติดตลอด แบตเตอรี่ลดเพียง 2% เท่านั้น ก็ถือว่าอึดตามที่คาดเอาไว้
ทดสอบนับก้าวไปกับ Amazfit T-Rex

สำหรับการทดสอบเซ็นเซอร์นับจำนวนก้าว จากที่เคยใช้งานสายรัดข้อมืออัจฉริยะของ Xiaomi มา (Miband 4) ก็ถือว่าแอบนับก้าวเพี้ยนแบบโอเว่อร์อยู่เหมือนกัน แต่สำหรับ Amazfit T-Rex เมื่อเปรียบเทียบกับ Smart Watch อีกเครื่อง และสมาร์ทโฟน พบว่ามีค่าแตกต่างไม่ต่างกันมาก ประมาณ 5-10% เท่านั้น และมีค่าที่ใกล้เคียงกับสมาร์ทโฟนอีกด้วย
การแจ้งเตือน Amazfit T-Rex
สำหรับการแจ้งเตือนของ Amazfit T-Rex แสดงผลเป็นภาษาได้แบบสมบูรณ์แบบแล้ว ไม่มีสระตก หรือสระซ้อนแล้ว การแจ้งเตือนรวดเร็วพอๆ กับแจ้งเตือนบนสมาร์ทโฟน แต่ Amazfit T-Rex นั้นไม่มีไมค์นั่นหมายความว่าใช้เป็นโทรศัพท์ไม่ได้ ได้แค่เพียงแจ้งเตือนเท่านั้น
แบตเตอรี่ของ Amazfit T-Rex
Amazfit ได้เคลมไว้ว่า แบตเตอรี่ของ Amazfit T-Rex นั้นสามารถใช้งานแบบปกติได้ 20 วัน เปิดโหมดออกกำลังกายสูงสุด 66 ชั่วโมง (หน้าจอเปิดตลาด และวัดหัวใจตลอด) ดูนาฬิกาเฉย ๆ ได้ 66 วัน เราจึงทดลองใช้งานแบบชีวิตประจำวันดูแบตเต็ม 100% ในช่วงเช้า ใช้งานเปิดแจ้งเตือนปกติ ตั้งค่าให้วัดหัวใจทุก 10 นาที ดูนาฬิกาปกติที่มนุษย์ทุกดูกัน ออกกำลังกายในตอนเช้าโดยเปิดโหมดออกกำลังกายที่หน้าจอติดตลอดเวลาและ วัดใจตลอดเวลา ตกเย็นมาแบตเตอรี่ลดไป 94% จาก 100% ก็สามารถใช้งานต่อได้เกิน 10 วันแบบไม่ต้องชาร์จกันเลยทีเดียว
สรุป
ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หากผมสนใจ G-Shock สักรุ่น เพราะความทน และดีไซน์ที่ดูเท่ ผมอาจจะซื้อ G-Shock แบบไม่ลังเล เพราะไม่มีตัวเลือกมากนัก แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีพัฒนาไปไกลมาก เข้าสู่ยุค Smart Watch เต็มรูปแบบ ซึ่งหากผมมีงบเท่าเดิมเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ประมาณสามถึงสี่พัน และชอบนาฬิกาทน ๆ ดูเท่ Amazfit T-Rex จะตอบโจทย์ผมทุกอย่าง ทั้งเรื่องความทนที่ดูจากมาตรฐานที่ผ่านการรับรอง แน่นอนเลยว่ามันถึกกว่า Smart Watch รุ่นอื่นแน่นอน หมดกังวลเรื่องเป็นรอยง่าย แบตเตอรี่ที่อึดมาก หากไม่ได้ใช้งานหนักก็สามารถอยู่ได้เป็นเดือนแบบลืมชาร์จกันไปเลย มีน้ำหนักเบา กันน้ำถึง 50 เมตรใส่ตากฝนได้สบาย มีตัววัดผลออกกำลังกาย แจ้งเตือนต่าง ๆ มี GPS ในตัว เซ็นเซอร์เพียบ จึงเป็น Smart Watch ตัวอึด ที่ผมเกิดช้ากว่านี้สัก 10 ปี ผมคงต้องซื้อ Amazfit T-Rex มาใช้งานแน่ ๆ (ถ้ามีเงิน)
จุดเด่น
- ความทนทานผ่านการรับรองจากมาตรฐานระดับที่ทหารใช้กัน
- ดีไซน์เท่ โดดเด่น เน้นลุย ใส่สบายใจ ไม่ระแวงเป็นรอย
- หน้าจอ AMOLED สีสันสดใส เปิดโหมดแสดงผลตลอดเวลาได้
- แบตเตอรี่อึดมาก
- กันน้ำความลึกระดับ 50 เมตร ใส่ว่ายน้ำได้
- น้ำหนักเบา สายมีความยืดหยุ่น ไม่เก็บเหงื่อ
- มี GPS ในตัว
จุดสังเกต
- ไม่มีไมค์สนทนา ใช้คุยโทรศัพท์ไม่ได้ แจ้งเตือนได้อย่างเดียว